ในญี่ปุ่นมีศาลเจ้าชินโตตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศ วันนี้เราจึงมาแนะนำให้รู้จักกับ "ศาสนาชินโต" หรือ "ลัทธิชินโต" กันซักหน่อยเพราะศาลเจ้าชินโตนั้นถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาตินิยมเดินทางไปเยือน


อะมาเทราสุ (Amaterasu)

"ชินโต" (Shinto: 神道) ความเชื่อดั้งเดิมที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ชินโตเป็นศาสนาที่บูชาเทพเจ้าและวิญญาณในธรรมชาติ (Nature Worship) มีเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ชื่อ "อะมาเทราสุ" หรือ "โอฮิรุ เมโนมูจิ คามิ" (Amaterasu - Ohiru menomuchi no Kami) อันหมายถึง "ผู้ส่องแสงแห่งสวรรค์" ที่ได้รับการแต่งตั้งจากอิซานากิให้เป็นเทพเจ้าเพศหญิงที่สำคัญที่สุดในบรรดาเทพเจ้าประจำธรรมชาติ

ในอดีตชินโตเคยเป็นศาสนาประจำชาติ มีคัมภีร์ที่สำคัญ ได้แก่ "โคจิคิ" (Kojiki) และ "นิฮอนกิ" (Nihonki) เนื้อความกล่าวว่าหมู่เกาะญี่ปุ่นถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจของเทพเจ้าและจักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่นก็สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์

แนวความคิดเรื่องเทพเจ้า คำที่ใช้เรียกเทพเจ้าในภาษาญี่ปุ่น คือ "คามิ" (Kami) ตามความหมายดั้งเดิมแปลว่า "สูงกว่า" ซึ่งสามารถอธิบายได้เป็น 3 ความหมายคือ 1.บริสุทธิ์ หรือ สว่างรุ่งเรื่อง 2.สูงส่งกว่า (Superior) 3.แปลกประหลาด ลึกลับ น่ากลัว ซ่อนเร้น เหนือธรรมชาติ

เทพเจ้าที่สำคัญและมีชื่อเสียงในยุคแรกนั้นมี 2 องค์ คือ "อิซานางิ" (Izanagi) แปลว่า "เพศชายผู้เชื้อเชิญ" และ "อิซานามิ" (Izanami) แปลว่า "เพศหญิงผู้เชื้อเชิญ" โดยทั้งสององค์นี้เป็นบรรพบุรุษของเทพเจ้าทั้งมวลตามความเชื่อของศาสนาชินโต

ศาลเจ้าชินโตจะมีเอกลักษณ์สำคัญคือตรงบริเวณทางเข้าวัดจะมีซุ้มประตูที่เรียกว่า "โทริอิ" (Torii) อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าที่แบ่งแยกอาณาเขตของศาลเจ้าออกจากโลกภายนอก มีทั้งโทริอิที่สร้างจากไม้ หิน เหล็ก หรือคอนกรีต ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่โตหลายสิบเมตร

มิโกะ: เมื่อครั้งที่ศาสนาชินโตเป็นความเชื่อหลักของญี่ปุ่นและมีการบูชาเทพเจ้ามากมายหลายองค์ มิโกะได้รับความเคารพอย่างมากในฐานะผู้รับสาสน์จากเทพเจ้าหรือก็คือผู้ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ในสมัยโบราณนั้นมิโกะบางคนยังมีเซนส์ในการทำนายได้อย่างแม่นยำด้วย มิโกะ